รอยยิ้มบนคราบน้ำตาของ..ชาลี แชปลิน..
…ไม่ว่าโง่ หรือฉลาด ทุกคนต้องต่อสู้ด้วยตัวของตัวเอง…
(Charlie Chaplin)
ในวันหนึ่งหนูน้อยแชปลิน ต้องเป็นดาราจำเป็นเพราะแม่ของเขาป่วยเป็นโรคหลอดลมอักเสบทำให้เจ็บคอและไม่มีเสียง ต้องหยุดการแสดงกลางคันผู้ชมพากันไม่พอใจ และโห่ร้องกันเอ็ดตะโรจนผู้จัดการวงไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร มองซ้ายมองขวาเหลือบไปเห็นหนูน้อยแชปลินจึงพาออกมาหน้าเวทีเพื่อแนะนำต่อผู้ชม แล้วให้แชปลินทำการแสดงแทน หนูน้อยแชปลินทั้งร้องทั้งเต้นรำอย่างที่แม่ได้เคยสอนให้ โดยที่หนูน้อยแชปลินไม่มีอาการเคอะเขินแต่อย่างใด อาจจะกล่าวได้ว่า ในวิกฤตก็ยังมีโอกาสเพราะผู้ชมต่างพากันชอบใจในการแสดงของหนูน้อยแชปลินอย่างน่าเหลือเชื่อ นับว่าเป็นการแสดงครั้งแรกของชาลี แชปลิน แต่ก็เป็นการแสดงครั้งสุดท้ายสำหรับแม่ของเขา
หลังจากนั้นไม่นานแม่ของหนูน้อยแชปลินก็เสียสติและเศรษฐกิจการเงินของครอบครัวก็ตกต่ำลงเรื่อย ๆ ทำให้หนูน้อยแชปลินและพี่ชายต้องเที่ยวเร่ขายของ และทำงานรับจ้างทุกอย่างเท่าที่เด็กคนหนึ่งจะทำได้ ในท้ายที่สุดหนูน้อยแชปลินและพี่ชายก็ต้องไปอยู่ในการดูแลของสถานสงเคราะห์เด็กอนาถา
เขาคือนักแสดงตลก ผู้ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นอัจฉริยะในโลกแห่งการแสดง ภาพในวัยเด็กกลับฉายให้เห็นอีกฉากหนึ่งของชีวิต หากเปรียบชีวิตเป็นละคร ภาพในวัยเด็กของเขาช่างขัดแย้งกับบทบาทในหนังตลกของเขาเสียเหลือเกิน
ชาลี แชปลิน (charlie chaplin) เกิดที่ลอนดอนเมื่อวันที่ ๑๖ เมษายน ๒๔๓๒ แม่ของเขาเป็นนักแสดงและนักเต้นระบำ ส่วนพ่อเขานั้นเป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียงแต่ทว่าติดเหล้างอมแงม จนต้องแยกทางกับแม่ตั้งแต่ชาลี แชปลินยังจำความไม่ได้ ชีวิตลุ่ม ๆ ดอน ๆ ของวัยเด็กทำให้หนูน้อยแชปลินต้องทำงานหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเด็กส่งของ ลูกมือแม่ครัว คนงานเป่าหลอดแก้วในโรงงาน ฯลฯ ไม่มีงานไหนที่หนูน้อยแชปลินจะชื่นชอบไปกว่าการเป็นนักเต้นระบำ คงเป็นว่าพ่อและแม่ได้ถ่ายทอดสายเลือดแห่งศิลปินเอาไว้ในตัวเขาอย่างเต็มเปี่ยม และการเป็นนักเต้นระบำนั้นเองคือบันไดขั้นแรกที่ชาลี แชปลินไต่เต้าจนเป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางและเป็นขวัญใจมหาชนในที่สุด
เพราะความลำบากและการที่ต้องสู้ชีวิตในวัยเด็กเขาจึงเข้าใจหัวอกคนยากไร้ ซึ่งเป็นคนระดับล่างของสังคม ทำให้ในละครของเขานอกจากจะเป็นเรื่องตลกเบาสมองแต่ก็แฝงไว้ซึ่งการเสียดสีสังคม และเย้ยหยันโชคชะตา เขามักจะแสดงเป็นกรรมกร คนเร่ร่อน นักแสวงโชค คนรับใช้ ฯลฯ หากมองผิวเผินบทบาทในละครของเขาอาจจะดูคล้ายกับตกเป็นผู้ถูกกระทำ เป็นชายผู้น่าสงสารแต่ถ้ามองให้ลึกแล้วจะเห็นถึงการทรนงในศักดิ์ศรี ชายเร่ร่อนคนนี้ไม่เคยยอมแพ้แก่โชคชะตา เมื่อเขารอดพ้นจากภัยพาล เขามักจะชูกำปันขึ้นเหมือนเป็นการขู่ศัตรูว่าให้ระวังตัวเอาไว้ หรือบ่อยครั้งที่ชายพเนจรผู้นี้จะยักไหล่และเดินออกไปในตอนจบ คล้ายกับไม่แยแสกับสิ่งที่ทิ้งไว้เบื้องหลัง เพราะชีวิตยังมีความหวังเสมอ
ในยุคของสงครามที่กำลังปะทุขึ้น อังกฤษประกาศสงครามกับเยอรมันส่วนฝรั่งเศสกำลังถูกเยอรมันบุกถล่มอย่างหนัก ชาลี แชปลินประกาศจะสร้างหนังเรื่อง “The Great Dictator”(จอมเผด็จการ)เพื่อล้อเลียนนาซี และประท้วงฮิตเลอร์ ผลการตอบรับเป็นไปอย่างคึกคัก ทั้งทางบวกและทางลบ ชาลี แชปลินได้รับโทรเลขสั่งจองจากสายหนังไม่ขาดสาย พร้อมๆ กับจดหมายขู่ของผู้นิยมนาซีว่า ถ้าหนังออกฉายเมื่อไรเตรียมตัวรับลูกระเบิดเอาไว้ได้เลย แต่เปล่าเลย…แทนที่ชาลี แชปลินจะหวั่นวิตก เขากลับสวมวิญญาณของผู้เรียกร้องสันติภาพ ผ่านตัวละครที่เป็นช่างตัดผม ซึ่งถือเป็นตัวละครคนแรกที่มีบทพูด ในรอบ ๒๐ ปินับตั้งแต่เขาเริ่มสร้างหนัง
“…จงอย่าสิ้นหวัง ความทุกข์ทรมานที่เราได้รับอยู่นี้
เกิดจากความละโมบและบ้าคลั่งของ
คนที่ไม่อยากเห็นความเจริญของมนุษย์ด้วยกัน“
(บทพูดของตัวละคร)
แต่ผลที่ได้รับกลับกลายเป็นว่า เขาถูกกล่าวหาว่าเป็น “คอมมิวนิสต์” และทำเนียบขาวกล่าวว่า ชาลี แชปลิน ได้สร้างความยุ่งยากเป็นอย่างมากให้กับสหรัฐอเมริกาซึ่งในขณะนั้นอเมริกาวางตัวเป็นกลางจากความขัดแย้ง ชาลี แชปลินเคยกล่าวต่อผู้มีอำนาจทางการเมืองของสหรัฐอเมริกาว่า
“…ข้าพเจ้าไม่ใช่คอมมิวนิสต์ หากเป็นปุถุชนคนหนึ่งที่รู้ว่า
คนเราควรจะปฏิบัติต่อคนด้วยกันอย่างไร คอมมิวนิสต์ไม่ได้แตกต่างไปจากคนอื่น
เมื่อเขาแขนขาด เขาก็เจ็บปวดเหมือน ๆ กับเรา และตายเหมือน ๆ กับที่เราตาย
และแม่ที่เป็นคอมมิวนิสต์ก็เหมือนกับแม่ทั้งหลาย เธอร้องไห้เมื่อได้ข่าวว่า
ลูกชายของเธอจะไม่กลับบ้านเหมือน ๆ กับแม่คนอื่น ๆ
ข้าพเจ้าไม่จำเป็นต้องเป็นคอมมิวนิสต์ เพื่อที่จะรู้ซึ้งถึงสิ่งเหล่านี้…”
ครั้งหนึ่งผู้สื่อข่าวถามชาลี แชปลินว่า
“คุณรู้จัก Hans Eisler ไหม?” ผู้สื่อข่าวถาม
“เขาเป็นเพื่อนที่ดีของผม และเป็นนักดนตรีที่ยิ่งใหญ่ที่สุด” ชาลี แชปลิน กล่าว
“แต่เขาเป็นคอมมิวนิสต์” ผู้สื่อข่าวถาม
“ผมไม่สนใจ ความเป็นเพื่อนของผมไม่ได้ตั้งอยู่บนรากฐานความคิดทางการเมือง” ชาลี แชปลินตอบ
“แต่คุณก็มักจะชอบคบหาสมาคมกับพวกที่เป็นคอมมิวนิสต์” ผู้สื่อข่าวถาม
“ไม่มีใครที่จะมาสั่งให้ผมชอบ หรือไม่ชอบใคร ชีวิตคนเรายังไม่ตกต่ำถึงขนาดนั้น จริงไหม?” ชาลี แชปลิน
จากดาราที่เป็นขวัญใจมหาชนกลับกลายเป็นบุคคลที่ถูกกล่าวหาว่ามีแนวคิดทางการเมืองที่ตั้งอยู่คนละขั้วกับคนทั้งประเทศและด้วยเหตุผลนี้เอง ดูเหมือนว่าพื้นที่ของ ชาลี แชปลินที่จะสามารถเหยียบยืนบนอเมริกาก็น้อยลงไปทุกที ท้ายที่สุดชาลี แชปลินก็ออกจากอเมริกา โดยมีข่าวลือกันหนาหูว่าชาลี แชปลิน ถูกเนรเทศในข้อหา เป็นบุคคลไม่พึงปรารถณา ชาลี แชปลิน ใช้ชีวิตกับครอบครัวในช่วงบั้นปลายที่ “เวเวย์“ เมืองเล็ก ๆ ริมทะเลสาบเจนีวา บั้นปลายชีวิตอันเงียบสงบของดาวตลกผู้เคยรุ่งโรจน์เป็นเหมือนการตอกย้ำคำพูดของบรรดานักข่าวที่ว่า ชาลี แชปลิน แก่เกินไปสำหรับการกลับไปอเมริกา และแล้วเกือบ ๒๐ ปีหลังจากที่เขามาใช้ชีวิตอยู่ที่เวเวย์ (พ.ศ.๒๕๑๕) ชาลี แชปลิน ในวัย ๘๓ ปี ก็ได้รับคำเชิญของฮอลลีวู้ดให้กลับไปรับรางวัลตุ๊กตาทองพิเศษในฐานะ “ศิลปินผู้สร้างสรรค์ศิลปะที่ยิ่งใหญ่ให้กับวงการภาพยนตร์ในรอบศตวรรษ”
นิตยสารไทม์วิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้ว่า
“…เป็นรางวัลที่มีความหมายมากกว่าการตอบแทนผลงานดีเด่น
เป็นคำขอโทษที่มีตัวตน มันมีความหมายว่า
อเมริกาทั้งประเทศได้ลบล้างความผิดพลาดที่น่าเศร้าของคนรุ่นเก่า
ในการกระทำ (ต่อชาลี แชปลิน) ที่เปรียบเสมือนการเตะขาตัวเอง…”
จากนั้นอีกสามปีต่อมา อังกฤษก็ประกาศว่าสมเด็จพระนางเจ้าเอลิซาเบท พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นอัศวิน (Knight Commander of the Order of the British Empire)โดยทรงแตะคทาลงบนไหล่ของอดีตเด็กชายมอมแมมจากย่านสลัมกรุงลอนดอนให้กลายเป็น “เซอร์ ชาร์ลส สเปนเซอร์ แชปลิน” [Sir Charles Spencer Chaplin]ในฐานะศิลปินผู้สร้างผลงานที่ยิ่งใหญ่และมีคุณค่าต่อสาธารณชนเป็นเวลายาวนานหลังจากนั้นเพียงสองปี เซอร์ ชาลี แชปลิน ก็จากไปอย่างอย่างสงบด้วยวัย ๘๘ ปี ณ คฤหาสน์ริมทะเลสาบเจนีวา ชานเมืองเวเวย์ เมื่อเวลาสี่นาฬิกาของวันคริสต์มาส พ.ศ. ๒๕๒๐ โดยมีภรรยา และลูก ๆ อยู่เคียงข้าง
ในบทละครเงียบเขาคือชายผู้สร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะให้กับโลก ส่วนในละครแห่งชีวิต ชาลี แชปลิน คือผู้สามารถก้าวผ่านมรสุมชีวิตได้อย่างทรนง “เสียงหัวเราะคือ ยาชูกำลัง คือเครื่องผ่อนคลาย และตัวขจัดปัดเป่าความปวดร้าว”
ขอบคุณข้อมูลจาก
หนังสือ “หัวร่อร่า น้ำตาริน” (๒๕๔๙) ในโครงการหนังสือเล่มเล็ก โดย ธีรภาพ โลหิตกุล
หนังสือ ๑๐๘ ซองคำถาม / สำนักพิมพ์สารคดี
รูปภาพทั้งหมดจากอินเตอร์เน็ต
One thought on “รอยยิ้มบนคราบน้ำตาของ..ชาลี แชปลิน..”
Leave a Reply
You must be logged in to post a comment.
อ่านเพลิน และได้ข้อคิดเยอะเลย