ชวนอ่านหนังสือ : ทฤษฎีเคออส ฤาจะถึงกาลกลียุค
เมื่อวานลูกชายถามว่า I have butterflies in my stomach. เป็นยังไงแม่? ก็เลยอธิบายให้ลูกฟังว่า เป็นสำนวนที่เขาใช้อธิบายถึงเวลาที่เรารู้สึกกระวนกระวาย บวกตื่นเต้น เพราะเราจะรู้สึกว่าปั่นป่วนในท้อง คล้ายกับมีผีเสื้อกระพือปีกบินกันอยู่ในท้องมากมาย เจ้าลูกชายก็พยักหน้าหงึกหงัก
แล้วก็เลยนึกถึงว่า หยิบหนังสือจากรถหนังสือใหม่ไว้เล่มนึงเรื่อง ทฤษฎีเคออส ฤาจะถึงกาลกลียุค เพราะตอนนั้นมีคนถามว่า butterfly effect มันคืออะไร เราก็แค่นึกถึงวลีที่มีคนพูดถึง และเป็นชื่อเพลงด้วย (เพลงของใคร..ใครจำได้มั่ง?) ว่า ..เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว..การกระทำบางอย่างของเราเพียงเล็กน้อย อาจส่งผลกระทบต่อผู้อื่น หรือต่อโลกของเราอย่างมหาศาล
ชื่อเรื่อง : ทฤษฏีเคออส ฤาจะถึงกาลกลียุค
ผู้แต่ง : ยุค ศรีอริยะ
เลขหมู่ : Q 172.5 C45 ย73
ในหนังสือเล่มนี้ไม่ได้กล่าวถึงความหมายของทฤษฏีเคออส เท่าไหร่เลย ไปเรื่องการเมืองเหลืองแดงซะนี่ แต่ในบทที่ 1 ผู้เขียนกล่าวว่า …ที่จริงแล้วหัวใจของทฤษฏีนี้ตั้งอยู่บนฐานความเชื่อที่ว่า Chaos ในตัวของมันเองคือ พลังในการสร้างสรรค์ที่ยิ่งใหญ่ คงไม่ต่างนักกับคำพูดปัจจุบันที่ชอบกล่าวกันว่า วิกฤติคือโอกาส…(หน้า 25)
ทฤษฏี Chaos สอนให้เรามองโลกแบบเชิงซ้อน และซับซ้อน ยกตัวอย่างง่ายๆ ว่า สมองของมนุษย์ หรือจิตของมนุษย์ ซึ่งถือว่าเป็นศูนย์กลางของชีวิต หน่วยความรับรู้ซึ่งอยู่ ณ ใจกลางของระบบสมองมักมีความปั่นป่วนก่อเกิดเสมอ จนบางครั้งเราจะรู้สึกเครียดหรือปวดหัวเป็นประจำ แต่ในเวลาเดียวกัน สมองก็มีความสามารถในการจัดระบบ (จากความปั่นป่วน) ที่ยิ่งใหญ่เช่นกัน เกิดการค้นคิดหรือสร้างแนวคิดใหม่ๆ ขึ้นมาได้ หรือมองดูพื้นป่าซึ่งมีการจัดระเบียบอย่างดีและงดงาม อยู่มาวันหนึ่งเกิดไฟไหม้ป่า ทุกอย่างก็สิ้นสูญไป กลายเป็นเพียงกองซากสกปรกเป็นกองๆ บนดินที่ดูทับถมกัน ดูรกไปหมด แต่เมื่อเวลาผ่านไประยะหนึ่งบรรดาไม้น้อยใหญ่กลับก่อเกิดงอกงามขึ้นใหม่ได้อีก
ชาวพุทธและปราชญ์ตะวันออก จะยอมรับว่า ธรรมชาติยิ่งใหญ่เหนือกว่าความสามารถของมนุษย์ มนุษย์ไม่มีทางเอาชนะธรรมชาติได้ ทฤษฏี Chaos เองได้นำเสนอแนวคิดในทำนองเดียวกันว่า ที่จริงแล้วมนุษย์ไม่สามารถควบคุมและจัดการธรรมชาติ หรือทำให้ธรรมชาติเคลื่อนไปตามความต้องการของมนุษย์ได้
บทที่ 2- บทที่ 5 เป็นการพูดถึงสภาพการเปลี่ยนแปลงแบบ Chaos กับวิถีการเมืองไทยยุคหลังปฎิวัติ 19 กันยายน ซึ่งไม่ถนัดที่สรุป หรือวิพากย์วิจารณ์ จึงขอเว้นไปแล้วกัน
ส่วนคำว่าถึงกาลกลียุค ผู้เขียนก็สรุปเป็นการผันผวน ความปั่นป่วนทางการเมือง ที่อาจก่อให้เกิดความรุนแรง และจะไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งชนะหรือได้ประโยชน์จากสถานการณ์ดังกล่าวเลย Chaos คือสภาวะแห่งการพลิกผันที่เกินคาด ไม่ต่างจากสภาวะลูกเต๋าที่มีทั้งหมด 6 ด้าน ยิ่งถูกสั่นถูกเขย่าให้ปั่นป่วนมากขึ้นเท่าไร ก็ไม่มีคำตอบว่า “ฉากสุดท้ายจะเป็นอย่างไร”
ส่วนใครอยากรู้ว่า Butterfly effect หรือ ผีเสื้อตัวน้อยกระพือปีก หรือ ผีเสื้อขยับปีกทำให้เกิดพายุ หรือ Chaos Theory หรือ ทฤษฏีแห่งความปั่นป่วน มีประวัติความเป็นมาอย่างไร มีรายละเอียดอย่างไร ติดตามได้จาก http://news.sanook.com/education/education_92701.php หรือใครอยากอ่านเรื่องย่อของหนังเรื่อง Butterfly effect ก็ตามอ่านได้ที่ http://demonqueen.multiply.com/reviews/item/45?&show_interstitial=1&u=%2Freviews%2Fitem และ อื่นๆ อีกเยอะเลย ลองคลิกดูที่ google ได้เลยค่ะ
2 thoughts on “ชวนอ่านหนังสือ : ทฤษฎีเคออส ฤาจะถึงกาลกลียุค”
Leave a Reply
You must be logged in to post a comment.
หากจะมองอีกแง่มุมหนึ่ง เมื่อผีเสื้อขยับปีกก็อาจทำให้โลกทั้งโลกสั่นไหวได้ เป็นการมองที่ให้กำลังใจกับผู้น้อยหรือผู้มีสิทธิมีเสียงน้อยในสังคม หากถูกกระทำหรือถูกข่มเหงจากผู้มีอำนาจ หรือผู้ยิ่งใหญ่ที่คิดว่ามีอำนาจเหนือกว่าคนอื่น หากเรานิ่งเฉย เมินเฉยไม่ลุกขึ้นมาสู้ ก็เหมือนกับเรายอมจำนน ไม่โต้ตอบอะไรเลย เหมือนกับความนิ่งสงบ ซึ่งผู้อื่นจะไม่สามารถรับรู้ได้ หากเราลุกขึ้นมาสู้ แม้เพียงผู้เดียว ก็เหมือนกับผีเสื้อตัวน้อยที่ขยับปีก ทำให้อากาศที่อยู่รอบตัวผีเสื้อสั่นไหว และกระเพื่อมไปเรื่อย ๆ ไปกระทบกับสิ่งที่อยู่ข้างเคียงให้เกิดปฏิกิริยาขึ้นบ้าง แม้เพียงเล็กน้อยก็ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปบ้าง หากเป็นเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ สิ่งที่กระทบก็จะเกิดเป็นวงกว้างขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่ขึ้น ซึ่งอาจทำให้มีผลกระทบต่อผู้มีอำนาจหรืออิทธิพลนั้นด้วย หรืออาจกล่าวได้ว่ามดล้มช้างก็เป็นได้
เราน่าจะคุ้นกับภาษาไทยที่ว่า เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว มากกว่าค่ะ ดูอ่อนหวานแต่เข้มแข็ง เหมาะกับคนไทยที่อยู่ในกรอบของคำสอน เช่น พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง น้ำขุ่นไว้ใน น้ำใสไว้นอก บัวไม่ให้ช้ำน้ำไม่ให้ขุ่น ผ่อนสั้นผ่อนยาว รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี ฯลฯ